"ริ้วรอย" เป็นคำแสลงใจที่ไม่มีสาวๆ คนไหนอยากพบเจอ ด้วยเหตุนี้เรามีเคล็ดลับการลดเลือนริ้วรอย ที่สาวๆ อาจจะคาดไม่ถึงมาฝากกัน แถมสามารถทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องไปเสียเงินพึงพาครีมลดเลือนริ้วรอยที่แสนจะราคาแพงแต่อย่างใดทั้งสิ้น
นอนหงาย
สมาคมแพทย์ผิวหนังอเมริกันแนะนำว่า การนอนในท่าใดท่าหนึ่งเพียงท่าเดียวทุกๆ คืนจะทำให้หน้ายับ ก่อนจะกลายเป็นริ้วรอยที่เห็นได้ชัดบนผิวหน้า และไม่เลือนหายไปแม้ว่าคุณจะลุกขึ้นมาแล้วก็ตาม โดยการนอนตะแคงข้างจะเพิ่มริ้วรอยที่แก้มและคาง ขณะที่การนอนคว่ำจะทำให้เกิดรอยย่นบนหน้าผาก
ฉะนั้นเพื่อลดการก่อตัวของริ้วรอยแนะนำให้สาวๆ เปลี่ยนมานอนหงายแทน แม้ว่าอาจจะไม่ชินในช่วงแรก และเผลอพลิกไปนอนในท่าที่เคยชินตอนหลับไปแล้ว แต่ก็ยังดีกว่านอนตะแคง หรือนอนคว่ำอย่างเดียวโดยไม่เปลี่ยนท่าเลยตลอดคืน
รับประทานปลามากขึ้น
อันนี้ฝรั่งเขาแนะนำให้รับประทานปลาแซลมอน ซึ่งนอกจากจะเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีแล้ว ยังอุดมไปด้วยวิตามินที่ดีต่อผิว เพราะว่ามีส่วนประกอบของกรดไขมันจำเป็นที่ชื่อว่ากรดไขมันโอเมก้า-3
ซึ่งทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น ยืดหยุ่น เด้งดึ๋ง และดูอ่อนเยาว์ รวมถึงช่วยลดเลือนริ้วรอยด้วย แต่สำหรับคนไทยอาจจะหันมารับประทานปลาสวาย ปลาไทยๆ ราคาไม่แพง แต่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 ไม่แพ้ปลาชนิดไหนในโลกแทนก็ได้ ไม่ต้องรับประทานปลาแซลมอนให้เปลืองสตางค์
เลิกหยีตา-หาแว่นมาใส่ด่วน
สมาคมแพทย์ผิวหนังอเมริกันแนะนำว่า การขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้าซ้ำๆ อย่างเช่นการหยีตา จะทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าต้องทำงานหนักเกินไป และทำให้เกิดร่องลึกที่ชั้นใต้ผิวหนัง ซึ่งร่องลึกเหล่านี้จะพัฒนาไปเป็นริ้วรอยถาวร
ฉะนั้นทำตาโตๆ กันเข้าไว้ โดยการใส่แว่นสำหรับอ่านหนังสือ (ถ้าจำเป็นต้องใช้ เพราะสายตาสั้น) รวมถึงควรใส่แว่นกันแดดเพื่อปกป้องผิวหนังรอบๆ ดวงตาไม่ให้ถูกแสงแดดทำร้าย และเพื่อคุณจะได้ไม่ต้องหยีตาหลบแดดอีกด้วย
ผิวสวยด้วยกรดผลไม้
เพราะกรดผลไม้ช่วยลอกเซลล์ของชั้นผิวหนังที่ตายแล้วให้หลุดออกไป จึงช่วยลดเลือนริ้วรอยจางๆ และริ้วรอยลึกๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งริ้วรอยรอบๆ ดวงตา โดยมีหลักฐานชิ้นใหม่แสดงว่า กรดผลไม้ที่มีความเข้มข้นสูง จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อีกด้วย
เปลี่ยนจากกาแฟมาเป็นโกโก้
ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในปี 2006 ใน the Journal of Nutrition รายงานว่า โกโก้มีสารประกอบ flavonol 2 ชนิด คือ เอพิคาเตซิน และคาเตซิน ซึ่งช่วยปกป้องผิวจากการทำร้ายของแสงแดด ทำให้การหมุนเวียนของเลือดเข้าสู่เซลล์ผิวหนังได้เร็วขึ้น ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวนุ่มเนียนมากขึ้น
อย่าล้างหน้าบ่อยเกินไป
แพทย์ผิวหนังบอกว่า น้ำประปาจะรบกวนน้ำมันที่ผิวหนังสร้างขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยปกป้องผิวไม่ให้เกิดริ้วรอย ดังนั้นการล้างหน้าบ่อยๆ จะล้างสิ่งที่ปกป้องผิวหนังออกไป เว้นแต่ว่าสบู่ที่คุณใช้จะมีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยปกป้องผิว จึงขอแนะนำให้ใช้เคลนเซอร์ล้างหน้าแทนสบู่
ใช้วิตามินซีชนิดทา
ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Tulane และผลการศึกษาจากที่อื่นพบว่า วิตามินซีสมารถเพิ่มการผลิตคอลลาเจน ช่วยปกป้องผิวจากการทำร้ายของรังสียูวีเอและยูวีบี ทำให้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอลดลง รวมถึงทำให้ภาวะผิวหนังอักเสบมีอาการดีขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิตามินซีที่ใช้ด้วย ปัจจุบันผลการวิจัยส่วนมากพบว่า กรดแอล-เอสคอร์บิก สามารถลดริ้วรอยได้มากที่สุด
กินถั่วเหลืองมากขึ้น
ผลการวิจัยแสดงว่า ถั่วเหลืองอาจจะช่วยปกป้องหรือเยียวยาผิวที่ถูกแสงแดดทำร้ายได้ โดยผลการศึกษาชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ใน The European Journal of Nutrition รายงานว่า อาหารเสริมที่มีถั่วเหลืองเป็นส่วนประกอบพื้นฐานชนิดหนึ่ง ซึ่งมีวิตามินต่างๆ โปรตีนจากปลา และสารสกัดจากชาขาว เมล็ดองุ่น และมะเขือเทศเป็นส่วนประกอบด้วย ช่วยทำให้โครงสร้างของผิวดีขึ้นภายใน 6 เดือน
ดูแลผิวด้วยวิธีการที่ถูกต้อง
ถ้าคุณต้องการรักษาผิวให้ดูอ่อนเยาว์ ควรเริ่มต้นการดูแลอย่างถูกต้อง ด้วยวิธีที่คุณอาจจะเคยได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่เคยทำเลย ดังนี้
- หลีกเลี่ยงแสงแดด
- ทาครีมกันแดด
- ไม่สูบบุหรี่
- บำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์
เพียงใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ผิวของคุณก็จะเกิดริ้วรอยได้ยากขึ้น
health and beauty club
เกี่ยวกับฉัน
- nanny zanza
- ร่าเริง แจ่มใส ไม่ชอบคนโกหก เกลียดคนดูดบุหรี่ รักคนหน้าตาดีๆๆฮ่าๆๆ จริงๆๆนะ เอาแต่ใจบ้างบางเวลา ไม่ชอบตามใจคนรอบข้างมากเท่าไหร่ รักทุกคนที่รักเรา ชอบเลี้ยงหมาและเล่นกับมันมากที่สุด อยากสวยเหมือน บริทย์นี สเปียร์ (เธอสวยมากๆชอบมากๆๆ) สุดท้ายนี้ที่จะกล่าวเป็นคนสนุกสนาน หัวเราะได้ทั้งวันเลย ฮ่า ๆๆๆๆๆๆๆๆ
วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554
ทำสปาด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ
ถ้าไม่มีเวลาเข้าไปนวดหน้าที่สปา ทำไมไม่ทำเองที่บ้านล่ะค่ะ อาจจะทำด้วยตัวเอง หรือผลัดกันนวดกับเพื่อนก็ได้
1. ทาเคลนเซอร์ที่ใช้ตามปกติลงบนผิวหน้า และลำคอให้ทั่ว ลงมือนวดตั้งแต่ฐานคอขึ้นมาจนถึงแนวขากรรไกร โดยใช้ปลายนิ้วลูบไล้เป็นแนววงกลม จากนั้น นวดไปตามแนวขากรรไกร แก้ม ด้านข้างจมูก และคิ้ว โดยนวดไล่จากด้านในไปด้านนอก
2. ไล่นิ้วจากบริเวณใต้ตาเข้าไปทางจมูก แล้ววกกลับขึ้นไปทางหน้าผาก จากนั้น ใช้ฝ่ามือลูบจากคอขึ้นมา และจากกึ่งกลางใบหน้าออกไปด้านนอก เสร็จแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น
3. ทาผลิตภัณฑ์ขัดผิวลงบนผิวหน้าในขณะแห้ง แล้วนวดเป็นแนววงกลมให้ทั่วใบหน้า จากนั้น จึงเติมน้ำลงไปแล้วนวดต่ออีกรอบ เสร็จแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทามาส์กพอกหน้าตามลงไปทันทีหลังล้างหน้าเสร็จ ปล่อยทิ้งไว้ตามเวลาที่กำหนดแล้วล้างน้ำออก
4. จบด้วยการทาครีมบำรุงตามลงไปทันที โดยใช้วิธีการนวดแบบเดียวกับตอนใช้เคลนเซอร์
ไม่ยากเกินไปใช่ไหมคะ ประหยัดเงินไปทำที่ร้านได้อีกด้วย ผลัดไปทำร้านบ้าง ทำเองบ้างจะได้สวยจังตังอยู่ครบนะคะ
วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554
สมุนไพรบำรุงเส้นผม
สมุนไพรบำรุงเส้นผมของหาง่าย ๆ แต่สยบทุกปัญหาเส้นผม สมุนไพรไทยของเรานี่แหละค่ะถือว่าเวิร์คแบบสุด ๆ ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใดเป็นสิ่งที่มาจากธรรมชาตล้วนไม่ก่อให้เกิดสารเคมี ตกค้างอันเป็นผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมาและวันนี้เราก็มาดูกันเลยดีกว่าค่ะว่า สมุนไพรบำรุงเส้นผม ของเรานี้จะสยบปัญหาเส้นผมอันใดได้บ้างเอ่ย
สมุนไพรรักษาผมร่วง
ใคร ที่ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ สระทีผมหลุดออกมาเป็นกระจุกปล่อยไว้เสี่ยงหัวล้านแน่ รีบหาน้ำมันมะกอกมาทาผมให้ทั่วแล้วนวดศีรษะทำสักพักค่อยล้างออกด้วยสบู่หรือ แชมพูทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ไม่เกิน 1 เดือนผมจะค่อย ๆ หยุดร่วง
สมุนไพรรักษารังแค
เมืองไทยคงไม่มีวันมีหิมะตกแน่ ๆ เพราะฉะนั้นใครมีรังแคไหนจะเสียบุคลิกไหนจะคันแย่ แนะนำผลมะคำดีควายทุบพอแหลกต้มในน้ำให้เดือด นำน้ำที่ได้สระผมสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะทำให้หนังศีรษะสะอาด ป้องกันการเกิดรังแค แถมแก้โรคชันตุได้อีกด้วย
สมุนไพรรักษาอาการคันศีรษะ
ให้นำว่านหางจระเข้ปอกเปลือกเอาแต่ส่วนที่เป็นวุ้นมาบดประมาณ 2 ช้อนโต๊ะเวลาสระผมให้ขยี้วุ้นว่านหางจระเข้ทาให้ทั่วผมทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที ล้างออกให้สะอาด ช่วยบำรุงหนังศีรษะ ลดอาการคันได้ชะงัด
สมุนไพรรักษาเหา
สูตรเดิมที่เคยรู้ใบน้อยหน่ายังใช้ได้อยู่เด็ดมาสัก 8 ใบ โขลกให้ละเอียดผสมน้ำทาผมให้ทั่วเอาผ้าคลุมทิ้งไว้สักครึ่งชั่วโมงค่อย ล้างออกสระผมตามอีกครั้งแต่ระวัง! น้ำน้อยหน่าเข้าตาขอเตือนว่าแสบมาก ใครไม่มีใบน้อยหน่าแนะนำให้ใช้ใบสะเดาแก่ ๆ แทนได้วิธีการเหมือนกันเป๊ะ
วิธีเลือกซื้อแชมพูสมุนไพร
สมุนไพรรักษาผมมัน
เลือกสารสกัดจากธรรมชาติ พวก แตงกวา กระเพรา เบอร์กามอท และจูนิเปอร์ ช่วยลดความมันเยิ้มของหนังศีรษะ เส้นผมหลีบแบนได้
สมุนไพรรักษาผมแห้ง
เลือกสารสกัดจากดอกกล้วยไม้ กระเพรา โสม ขิง ช่วยให้ผมแห้งเสียกลับมามีน้ำหนัก สปริงตัวสวยอีกครั้ง
สมุนไพรรักษาผมแตกปลาย
เกิดจากใช้แชมพูที่มีกรดหรือด่างมากเกินไปเลือกสารสกัดจากตะไคร้ น้ำมันมะกอก ลูกมะกรูด ลดอาการแตกปลายได้
สมุนไพรรักษาผมธรรมดา
นับว่าเป็นคนโชคดีสุด ๆ แต่ต้องไม่ลืมบำรุงสม่ำเสมอไม่งั้นสภาพผมอาจแย่ได้ เลือกที่มีสารสกัดดอกฮอลลี่ฮ็อก กระเพรา อัญชัน มะกรูด ช่วยให้ผมดกดำ เงางามยิ่งขึ้น
เห็นไหมว่าคะว่าสมุนไพรไทย ภูมิปัญญาไทย เจ๋งจริงไม่ต้องไปเสียเงินแพง ๆ ให้กับแชมพูที่ผสมสารเคมี ของไทย ๆ เรานี่แหละแน่จริง....
สมุนไพรรักษาผมร่วง
ใคร ที่ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ สระทีผมหลุดออกมาเป็นกระจุกปล่อยไว้เสี่ยงหัวล้านแน่ รีบหาน้ำมันมะกอกมาทาผมให้ทั่วแล้วนวดศีรษะทำสักพักค่อยล้างออกด้วยสบู่หรือ แชมพูทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ไม่เกิน 1 เดือนผมจะค่อย ๆ หยุดร่วง
สมุนไพรรักษารังแค
เมืองไทยคงไม่มีวันมีหิมะตกแน่ ๆ เพราะฉะนั้นใครมีรังแคไหนจะเสียบุคลิกไหนจะคันแย่ แนะนำผลมะคำดีควายทุบพอแหลกต้มในน้ำให้เดือด นำน้ำที่ได้สระผมสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะทำให้หนังศีรษะสะอาด ป้องกันการเกิดรังแค แถมแก้โรคชันตุได้อีกด้วย
สมุนไพรรักษาอาการคันศีรษะ
ให้นำว่านหางจระเข้ปอกเปลือกเอาแต่ส่วนที่เป็นวุ้นมาบดประมาณ 2 ช้อนโต๊ะเวลาสระผมให้ขยี้วุ้นว่านหางจระเข้ทาให้ทั่วผมทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที ล้างออกให้สะอาด ช่วยบำรุงหนังศีรษะ ลดอาการคันได้ชะงัด
สมุนไพรรักษาเหา
สูตรเดิมที่เคยรู้ใบน้อยหน่ายังใช้ได้อยู่เด็ดมาสัก 8 ใบ โขลกให้ละเอียดผสมน้ำทาผมให้ทั่วเอาผ้าคลุมทิ้งไว้สักครึ่งชั่วโมงค่อย ล้างออกสระผมตามอีกครั้งแต่ระวัง! น้ำน้อยหน่าเข้าตาขอเตือนว่าแสบมาก ใครไม่มีใบน้อยหน่าแนะนำให้ใช้ใบสะเดาแก่ ๆ แทนได้วิธีการเหมือนกันเป๊ะ
วิธีเลือกซื้อแชมพูสมุนไพร
สมุนไพรรักษาผมมัน
เลือกสารสกัดจากธรรมชาติ พวก แตงกวา กระเพรา เบอร์กามอท และจูนิเปอร์ ช่วยลดความมันเยิ้มของหนังศีรษะ เส้นผมหลีบแบนได้
สมุนไพรรักษาผมแห้ง
เลือกสารสกัดจากดอกกล้วยไม้ กระเพรา โสม ขิง ช่วยให้ผมแห้งเสียกลับมามีน้ำหนัก สปริงตัวสวยอีกครั้ง
สมุนไพรรักษาผมแตกปลาย
เกิดจากใช้แชมพูที่มีกรดหรือด่างมากเกินไปเลือกสารสกัดจากตะไคร้ น้ำมันมะกอก ลูกมะกรูด ลดอาการแตกปลายได้
สมุนไพรรักษาผมธรรมดา
นับว่าเป็นคนโชคดีสุด ๆ แต่ต้องไม่ลืมบำรุงสม่ำเสมอไม่งั้นสภาพผมอาจแย่ได้ เลือกที่มีสารสกัดดอกฮอลลี่ฮ็อก กระเพรา อัญชัน มะกรูด ช่วยให้ผมดกดำ เงางามยิ่งขึ้น
เห็นไหมว่าคะว่าสมุนไพรไทย ภูมิปัญญาไทย เจ๋งจริงไม่ต้องไปเสียเงินแพง ๆ ให้กับแชมพูที่ผสมสารเคมี ของไทย ๆ เรานี่แหละแน่จริง....
ข้อศอกดำ-ด้าน กลับมานุ่มใสใหม่ง่ายนิดเดียว
"ข้อศอก" อวัยวะที่สุดแสนจะทำงานหนัก แต่เรากลับมองข้ามจนผิวบริเวณนั้นอาจดำด้านและดูคล้ายกับหนังช้าง แต่คุณไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ผิวกายมีตำหนิอีกต่อไป ในเมื่อนวัตกรรมสมัยนี้เปลี่ยนทุกอย่างได้เรื่องนิดเดียว
"ข้อศอก" อวัยวะที่แม้แต่คนที่ดูแลผิวกายอย่างดีที่สุดก็อาจจะมองข้าม ด้วยความที่เรามองไม่ค่อยเห็นมัน ในเวลาไม่นานนัก ผิวที่ข้อศอกก็จะหนาขึ้น และหยาบกร้านขึ้นเรื่อย ๆ แม้ชั้นปกป้องนี้จะจำเป็น แต่ผิวของเราก็ไม่จำเป็นต้องดูเหมือนผิวช้าง ข่าวดีก็คือ ยังมีสิ่งที่ทำให้ผิวส่วนนี้ของคุณนุ่มลงได้
Slow Fix
หลายครั้งที่ทรีตเมนต์อย่างเดียวไม่ได้ผล เพราะข้อศอกของคุณเกิดการเสียดสีอยู่บ่อย ๆ คุณเองจึงต้องร่วมรักษาความเนียนใสของข้อศอกด้วยเช่นกัน
1. เลิกเท้าโต๊ะด้วยข้อศอก มิเช่นนั้นต่อให้นวัตกรรมเริ่ดแค่ไหน ข้อศอกก็จะกลับมาด้านอีก ผิวหนัง บริเวณข้อศอกมีหน้าที่ปกป้องข้อต่อ กล้ามเนื้อ และกระดูก มันจึงต้องปรับตัวตามแรงกดดันที่ได้รับ เช่นเดียวกับ ผิวหนังบริเวณส้นเท้าและเข่า หรือปลายนิ้วของคนเล่นกีตาร์ แต่ข้อศอกของคุณไม่จำเป็นต้องได้รับการปกป้องมากขนาดนั้น แต่ถ้าคุณเท้าศอกบ่อย ๆ โดยเฉพาะคนที่นั่งโต๊ะ ผิวที่ตายแล้วก็จะทับถมกันเรื่อย ๆ
2. รักษาความสะอาด ข้อศอกที่ทำงานหนักมักจะแห้งและไม่น่าดู พอคุณยืดแขน ผิวก็จะย่น เกิดการหมักหมม การทำความสะอาด จึงเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยป้องกันผิวด้านและขับไล่เชื้อโรค แต่ควรจะหลีกเลี่ยงสบู่ ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือที่เป็นกรดรุนแรง เพราะอาจทำให้ผิวยิ่งแห้งเข้าไปอีก
3. ขัดผิว เอาเซลล์ใหม่ ๆ ขึ้นมาแทนที่เซลล์เก่าอยู่เสมอ อาจจะเป็นอีกหนทางหนึ่งในการบรรเทา "ผิวหนังไก่" ที่ข้อศอกและต้นแขนได้ คุณอาจขัดระหว่างอาบน้ำ และตามด้วยโลชั่นที่มีส่วนผสมของกรดแล็กติกก็ได้
4. เพิ่มความชุ่มชื้น เพราะข้อศอกไม่ค่อยมีต่อมที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น อย่างที่ผิวส่วนอื่นมี การทาปิโตรเลียมเจลลี่หรือครีมที่มีความชุ่มชื้นแบบพิเศษจึงช่วยได้ เช่นเดียวกับการดื่มน้ำมาก ๆ
5. ไปพบแพทย์ เพราะบางทีข้อศอกก็แห้งและด้านเกินเยียวยา บางครั้งอาจเป็นโรคสะเก็ดเงิน หรือว่าเป็นโรคผิวหนังอักเสบ ซึ่งอาจจะทำให้ผิวหนาและแห้งแบบที่คุณรักษาเองไม่หาย ดังนั้น ควรไปพบแพทย์ผิวหนังดีกว่า หากไม่เป็นโรคก็จะได้หมดห่วง และยังประเมินได้ด้วยว่า คุณจะใช้เลเซอร์หรือทรีตเมนต์แบบไหนในการรักษา
"ข้อศอก" อวัยวะที่แม้แต่คนที่ดูแลผิวกายอย่างดีที่สุดก็อาจจะมองข้าม ด้วยความที่เรามองไม่ค่อยเห็นมัน ในเวลาไม่นานนัก ผิวที่ข้อศอกก็จะหนาขึ้น และหยาบกร้านขึ้นเรื่อย ๆ แม้ชั้นปกป้องนี้จะจำเป็น แต่ผิวของเราก็ไม่จำเป็นต้องดูเหมือนผิวช้าง ข่าวดีก็คือ ยังมีสิ่งที่ทำให้ผิวส่วนนี้ของคุณนุ่มลงได้
Slow Fix
หลายครั้งที่ทรีตเมนต์อย่างเดียวไม่ได้ผล เพราะข้อศอกของคุณเกิดการเสียดสีอยู่บ่อย ๆ คุณเองจึงต้องร่วมรักษาความเนียนใสของข้อศอกด้วยเช่นกัน
1. เลิกเท้าโต๊ะด้วยข้อศอก มิเช่นนั้นต่อให้นวัตกรรมเริ่ดแค่ไหน ข้อศอกก็จะกลับมาด้านอีก ผิวหนัง บริเวณข้อศอกมีหน้าที่ปกป้องข้อต่อ กล้ามเนื้อ และกระดูก มันจึงต้องปรับตัวตามแรงกดดันที่ได้รับ เช่นเดียวกับ ผิวหนังบริเวณส้นเท้าและเข่า หรือปลายนิ้วของคนเล่นกีตาร์ แต่ข้อศอกของคุณไม่จำเป็นต้องได้รับการปกป้องมากขนาดนั้น แต่ถ้าคุณเท้าศอกบ่อย ๆ โดยเฉพาะคนที่นั่งโต๊ะ ผิวที่ตายแล้วก็จะทับถมกันเรื่อย ๆ
2. รักษาความสะอาด ข้อศอกที่ทำงานหนักมักจะแห้งและไม่น่าดู พอคุณยืดแขน ผิวก็จะย่น เกิดการหมักหมม การทำความสะอาด จึงเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยป้องกันผิวด้านและขับไล่เชื้อโรค แต่ควรจะหลีกเลี่ยงสบู่ ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือที่เป็นกรดรุนแรง เพราะอาจทำให้ผิวยิ่งแห้งเข้าไปอีก
3. ขัดผิว เอาเซลล์ใหม่ ๆ ขึ้นมาแทนที่เซลล์เก่าอยู่เสมอ อาจจะเป็นอีกหนทางหนึ่งในการบรรเทา "ผิวหนังไก่" ที่ข้อศอกและต้นแขนได้ คุณอาจขัดระหว่างอาบน้ำ และตามด้วยโลชั่นที่มีส่วนผสมของกรดแล็กติกก็ได้
4. เพิ่มความชุ่มชื้น เพราะข้อศอกไม่ค่อยมีต่อมที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น อย่างที่ผิวส่วนอื่นมี การทาปิโตรเลียมเจลลี่หรือครีมที่มีความชุ่มชื้นแบบพิเศษจึงช่วยได้ เช่นเดียวกับการดื่มน้ำมาก ๆ
5. ไปพบแพทย์ เพราะบางทีข้อศอกก็แห้งและด้านเกินเยียวยา บางครั้งอาจเป็นโรคสะเก็ดเงิน หรือว่าเป็นโรคผิวหนังอักเสบ ซึ่งอาจจะทำให้ผิวหนาและแห้งแบบที่คุณรักษาเองไม่หาย ดังนั้น ควรไปพบแพทย์ผิวหนังดีกว่า หากไม่เป็นโรคก็จะได้หมดห่วง และยังประเมินได้ด้วยว่า คุณจะใช้เลเซอร์หรือทรีตเมนต์แบบไหนในการรักษา
สูตรเด็ด! ครีมพอกหน้าลบรอยย่น
คุณสาวๆ รู้ไหมค่ะว่า ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องบำรุงผิวหน้าด้วยครีมราคาแพงแสนแพง เพราะวันนี้เรามีสูตรความงามในการพอกหน้า เพื่อลบริ้วรอยและดูแลให้ใบหน้าเกลี้ยงเกลามาฝากค่ะ
อุปกรณ์เพิ่มความงาม
- แป้งข้าวเจ้า
- นมระเหย
ขั้นตอนความงาม
ผสมแป้งข้าวเจ้า กับนมระเหยให้เข้ากัน พอเป็นแป้งเปียกข้นๆ ทาใบหน้าให้ทั่วและทิ้งไว้จนแห้ง ใบหน้าของคุณก็จะตึง พอครีมที่พอกเริ่มแข็งตัว ให้ล้างออกด้วยน้ำเย็น จากนั้นส่องกระจกดู ก็จะเห็นว่าหน้าของคุณเกลี้ยงเกลาขึ้นทันตาเห็นค่ะ
อุปกรณ์เพิ่มความงาม
- แป้งข้าวเจ้า
- นมระเหย
ขั้นตอนความงาม
ผสมแป้งข้าวเจ้า กับนมระเหยให้เข้ากัน พอเป็นแป้งเปียกข้นๆ ทาใบหน้าให้ทั่วและทิ้งไว้จนแห้ง ใบหน้าของคุณก็จะตึง พอครีมที่พอกเริ่มแข็งตัว ให้ล้างออกด้วยน้ำเย็น จากนั้นส่องกระจกดู ก็จะเห็นว่าหน้าของคุณเกลี้ยงเกลาขึ้นทันตาเห็นค่ะ
6 วิธี รับมือช่วงนั้นของเดือน (Modernmom)
สาว ๆ ทั้งหลายได้เห็นหัวข้อนี้แล้วคงจะตาลุกวาว อยากจะรู้วิธีกำจัดอาการต่าง ๆ ในช่วงก่อนและช่วงนั้นของเดือน เรื่องนี้ใครไม่ใช่ผู้หญิงคงไม่รู้หรอกว่า มันทรมานหัวอกลูกผู้หญิงแค่ไหน ลองมาดูกันดีกว่าว่า จะรับมือกับช่วงนั้น ของเดือนได้อย่างไร
1.จำวันนั้นของเดือนให้แม่น
ขั้นแรกต้องกากบาทไว้ในปฏิทินเลยว่า ช่วงนั้นของเดือนคือวันที่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ จะได้เตรียมมือได้ถูก
2.บรรเทาอาการช่วงก่อนวันนั้นของเดือน
เช่น อาการคลื่นไส้ เจ็บหน้าอก ปวดหัว ปวดหลัง ปวดท้องน้อย ครั่นเนื้อครั่นตัว ตะคริว ฯลฯ ตลอดจนรักษาปริมาณน้ำในร่างกาย ด้วยการกินอาหารที่มีวิตามินบี 6 วิตามินซี วิตามินอี แคลเซียม และแมกนีเซียม และถ้าช่วงนั้นของเดือนต้องสูญเสียเลือดมาก ต้องเพิ่มธาตุเหล็กเข้าไปด้วย
3.หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มกาเฟอีน
ซึ่งมีส่วนทำให้หน้าอกคัดตึง ปวดศีรษะ และอารมณ์หงุดหงิดง่าย โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ก็จะช่วยทำให้คุณอารมณ์ดีขึ้น
4.ฝึกโยคะ
เพราะจะช่วยลดการปวดศีรษะ ตะคริว และโรคนอนไม่หลับ ลดอาการเกร็งของแผ่นหลัง ท้องน้อย และต้นคอ หรือหมุนและนวดข้อเท้าไปรอบ ก็ช่วยลดการเป็นตะคริวได้
5.กินอาหารมื้อเล็ก ๆ แต่กินบ่อย ๆ
จะช่วยลดอาการอึดอัดช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการอ่อนเพลียของร่างกายและการปวดศีรษะ
6.กินอาหารมีเส้นใยมาก ๆ
เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว ซึ่งจะช่วยลดการสูญเสียน้ำในร่างกาย หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกนม เนย เนื้อสัตว์ เพราะไขมันจะเป็นตัวก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดและควรกินพวกธัญพืช ผักใบเขียว และน้ำมันปลา จะช่วยป้องกันความอ่อนเล้าได้
1.จำวันนั้นของเดือนให้แม่น
ขั้นแรกต้องกากบาทไว้ในปฏิทินเลยว่า ช่วงนั้นของเดือนคือวันที่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ จะได้เตรียมมือได้ถูก
2.บรรเทาอาการช่วงก่อนวันนั้นของเดือน
เช่น อาการคลื่นไส้ เจ็บหน้าอก ปวดหัว ปวดหลัง ปวดท้องน้อย ครั่นเนื้อครั่นตัว ตะคริว ฯลฯ ตลอดจนรักษาปริมาณน้ำในร่างกาย ด้วยการกินอาหารที่มีวิตามินบี 6 วิตามินซี วิตามินอี แคลเซียม และแมกนีเซียม และถ้าช่วงนั้นของเดือนต้องสูญเสียเลือดมาก ต้องเพิ่มธาตุเหล็กเข้าไปด้วย
3.หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มกาเฟอีน
ซึ่งมีส่วนทำให้หน้าอกคัดตึง ปวดศีรษะ และอารมณ์หงุดหงิดง่าย โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ก็จะช่วยทำให้คุณอารมณ์ดีขึ้น
4.ฝึกโยคะ
เพราะจะช่วยลดการปวดศีรษะ ตะคริว และโรคนอนไม่หลับ ลดอาการเกร็งของแผ่นหลัง ท้องน้อย และต้นคอ หรือหมุนและนวดข้อเท้าไปรอบ ก็ช่วยลดการเป็นตะคริวได้
5.กินอาหารมื้อเล็ก ๆ แต่กินบ่อย ๆ
จะช่วยลดอาการอึดอัดช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการอ่อนเพลียของร่างกายและการปวดศีรษะ
6.กินอาหารมีเส้นใยมาก ๆ
เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว ซึ่งจะช่วยลดการสูญเสียน้ำในร่างกาย หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกนม เนย เนื้อสัตว์ เพราะไขมันจะเป็นตัวก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดและควรกินพวกธัญพืช ผักใบเขียว และน้ำมันปลา จะช่วยป้องกันความอ่อนเล้าได้
วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554
8 ขั้นตอนเพื่อหัวใจที่แข็งแรง
ปัจจุบันโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของประชากรไทย ในบรรดาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคในกลุ่มนี้ พฤติกรรมการบริโภคอาหารจัดเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่ง การที่นักวิชาการให้ความสนใจกับเรื่องดังกล่าว เพราะเป็นสิ่งที่ปรับเปลี่ยนหรือแก้ไขได้ (ถึงแม้จะแก้ยาก) เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อโรค ไม่เหมือนกับปัจจัยบางอย่าง เช่น พันธุกรรม (ที่คงต้องรอภพหน้า) เป็นต้น ผู้เขียนจึงขอยกตัวอย่างขั้นตอนการปฏิบัติตัวที่ดูจะไม่ยากนักสำหรับการปกป้องหัวใจให้ห่างไกลโรคมาฝากกัน
ขั้นตอนสู่หัวใจแข็งแรง
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่า เรื่องราวที่จะเขียนต่อไปนี้ผู้เขียนไม่ได้คิดขึ้นมาเอง แต่เป็นข้อแนะนำของเมโยคลินิก (Mayo Clinic) ซึ่งเป็นสถาบันทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียงในสหรัฐอเมริกา ผู้เขียนนำหลักการมาปรับให้เข้ากับสถานการณ์และรายการอาหารแบบไทย ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อ่าน รวมทั้งเพิ่มเติมข้อมูลอื่น อีกบ้าง ลองมาพบกับขั้นตอนทั้ง 8 กันเลย
จำกัดการกินไขมันที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ และคอเลสเตอรอล
ขั้นตอนแรกจัดว่า เป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพราะการได้รับไขมันอิ่มตัว ไขมันชนิดทรานส์ และคอเลสเตอรอลในปริมาณมาก เป็นต้นเหตุของการเกิดหลอดเลือดอุดตัน นำไปสู่โรคหัวใจ นักโภชนาการจึงแนะนำให้จำกัดการได้รับไขมันเหล่านี้ ด้วยวิธีการปฏิบัติอย่างง่าย ๆ คือ ลดการบริโภคไขมันที่มีลักษณะกึ่งแข็ง เช่น เนย มาร์การีน และเนยขาว ไขมันทุกชนิดที่เป็นไขมันสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหมู เนย ครีม (จากนมวัว) มันหมู มันไก่ เพราะเป็นแหล่งที่สำคัญของไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอล บางอย่างอาจเป็นแหล่งของไขมันทรานส์ด้วย สังเกตได้จากฉลาก ถ้าเป็นไขมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจน (Hydrogenated Fat) มักใช้ในผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ เช่น คุกกี้ แครกเกอร์ เป็นต้น
เลือกกินอาหารโปรตีนที่มีไขมันต่ำ
อาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนที่เราบริโภคกันทั่วไป คือ เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เป็นธรรมดาที่เนื้อติดมันจะนุ่มและให้กลิ่นรสที่ดี แต่ไขมันจากสัตว์เป็นแหล่งของไขมันอิ่มตัว และคอเลสเตอรอล จึงควรเลือกกินเนื้อส่วนที่ไม่ติดมัน ต้องลดพวกขาหมู หมูสามชั้น หมูกรอบ หนังไก่ หนังเป็ด ตลอดจนไส้กรอก เบคอน เครื่องใน เลือกดื่มนมและนมเปรี้ยวหรือผลิตภัณฑ์นมปราศจากไขมัน (หรือไขมันต่ำก็ยังดี) ไข่แดงอย่ากินบ่อยเกินไปสำหรับผู้ใหญ่ เพราะคอเลสเตอรอลสูงทางเลือกอื่นที่น่าสนใจคือ ปลา เต้าหู้ และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองหรือถั่วอื่น ๆ ที่มีไขมันต่ำ
กินผักและผลไม้ให้มากขึ้น
ข้อนี้คงไม่ต้องบรรยายมาก เพราะเราก็คุยกันเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว ผักผลไม้นอกจากแทบจะปราศจากไขมันแล้ว ยังให้วิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร และสารที่มีประโยชน์อื่น ๆ เพียงแต่อย่าราดสลัดครีมจนชุ่มหรือกินผักผลไม้ที่ผ่านการทอด เช่น เฟรนช์ฟรายส์ กล้วยแขก มันทอด ฯลฯ มากจนเกินไป
เลือกธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี
ข้าวกล้องและขนมปังโฮลวีท เป็นตัวเลือกที่ให้คุณค่าทางโภชนาการมากกว่าข้าวที่ขัดสีจนขาว และขนมปังขาว ใยอาหารและสารอาหารอื่น ๆ ในธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสีมีผลต่อการควบคุมความดันโลหิต และการลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
ลดเกลือ (โซเดียมคลอไรด์) ในอาหาร
ทุกท่านคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าการกินรสเค็ม ซึ่งเกิดจากเกลือโซเดียมคลอไรด์หรือเกลือแกงที่มีในอาหารต่าง ๆ มากไปนั้น เป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ เพราะฉะนั้นควรจะต้องเพลา ๆ ลงบ้าง หัดเติมเครื่องปรุงรสเค็มให้น้อยลง ไม่ว่าจะเป็นเกลือ น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสปรุงรส ชิมก่อนปรุง และหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด
ปรับปริมาณการกิน
ปัญหาใหญ่อันหนึ่งของหลาย ๆ ประเทศที่มีปัญหาโรคอ้วน และโรคเรื้อรังทั้งหลายคือ การกินเกินพอดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่เสิร์ฟในร้านอาหารหรือภัตตาคาร บางครั้งจะให้ปริมาณมากหรือเชิญชวนให้เพิ่มขนาด เพิ่มนั่นเพิ่มนี่เพื่อให้ (ดูเหมือนว่า) คุ้มราคา เราต้องรู้จักประมาณการ กินพออิ่ม เลือกปริมาณที่พอเหมาะ ถ้าหากเป็นอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ควรหยุดเมื่อเริ่มรู้สึกอิ่ม
วางแผนล่วงหน้าในการบริโภคอาหารแต่ละวัน
ข้อนี้อาจจะยากสักหน่อยสำหรับคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีชีวิตแบบเร่งรีบ แต่อย่างน้อยขอให้กินอย่างมีสติ ในแต่ละวันกินให้ได้ครบ 5 หมู่ ข้าว แป้ง ผักผลไม้มากหน่อย เนื้อสัตว์หรืออาหารโปรตีนอื่นพอประมาณ น้ำมัน (ไขมัน) น้ำตาล เกลือกินแต่น้อย
ให้รางวัลตัวเองเป็นครั้งคราว
สุดท้ายแล้วอย่าเคร่งเครียดจนเกินไป อาหารมันก็กินไม่ได้หวานไป เค็มไปก็ไม่ดี ชีวิตนี้ช่างไม่มีรสชาติ คงไม่ต้องถึงขนาดนั้น ขอเพียงให้ในเวลาส่วนใหญ่เรากินอาหารให้ถูกหลัก กินของที่มีประโยชน์และดีต่อสุขภาพ บางครั้งบางคราวเราสามารถให้รางวัลกับตัวเองบ้าง แต่อย่าใช้เป็นข้ออ้างในการละเลยการมีพฤติกรรมการบริโภคที่ดี
ครบ 8 ขั้นตอนที่ไมน่าจะยากจนเกินไป ถ้าสามารถปฏิบัติจนเป็นนิสัย หัวใจของคุณจะได้ห่างไกลโรค
ขั้นตอนสู่หัวใจแข็งแรง
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่า เรื่องราวที่จะเขียนต่อไปนี้ผู้เขียนไม่ได้คิดขึ้นมาเอง แต่เป็นข้อแนะนำของเมโยคลินิก (Mayo Clinic) ซึ่งเป็นสถาบันทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียงในสหรัฐอเมริกา ผู้เขียนนำหลักการมาปรับให้เข้ากับสถานการณ์และรายการอาหารแบบไทย ๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อ่าน รวมทั้งเพิ่มเติมข้อมูลอื่น อีกบ้าง ลองมาพบกับขั้นตอนทั้ง 8 กันเลย
จำกัดการกินไขมันที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ และคอเลสเตอรอล
ขั้นตอนแรกจัดว่า เป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพราะการได้รับไขมันอิ่มตัว ไขมันชนิดทรานส์ และคอเลสเตอรอลในปริมาณมาก เป็นต้นเหตุของการเกิดหลอดเลือดอุดตัน นำไปสู่โรคหัวใจ นักโภชนาการจึงแนะนำให้จำกัดการได้รับไขมันเหล่านี้ ด้วยวิธีการปฏิบัติอย่างง่าย ๆ คือ ลดการบริโภคไขมันที่มีลักษณะกึ่งแข็ง เช่น เนย มาร์การีน และเนยขาว ไขมันทุกชนิดที่เป็นไขมันสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหมู เนย ครีม (จากนมวัว) มันหมู มันไก่ เพราะเป็นแหล่งที่สำคัญของไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอล บางอย่างอาจเป็นแหล่งของไขมันทรานส์ด้วย สังเกตได้จากฉลาก ถ้าเป็นไขมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจน (Hydrogenated Fat) มักใช้ในผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ เช่น คุกกี้ แครกเกอร์ เป็นต้น
เลือกกินอาหารโปรตีนที่มีไขมันต่ำ
อาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนที่เราบริโภคกันทั่วไป คือ เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เป็นธรรมดาที่เนื้อติดมันจะนุ่มและให้กลิ่นรสที่ดี แต่ไขมันจากสัตว์เป็นแหล่งของไขมันอิ่มตัว และคอเลสเตอรอล จึงควรเลือกกินเนื้อส่วนที่ไม่ติดมัน ต้องลดพวกขาหมู หมูสามชั้น หมูกรอบ หนังไก่ หนังเป็ด ตลอดจนไส้กรอก เบคอน เครื่องใน เลือกดื่มนมและนมเปรี้ยวหรือผลิตภัณฑ์นมปราศจากไขมัน (หรือไขมันต่ำก็ยังดี) ไข่แดงอย่ากินบ่อยเกินไปสำหรับผู้ใหญ่ เพราะคอเลสเตอรอลสูงทางเลือกอื่นที่น่าสนใจคือ ปลา เต้าหู้ และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองหรือถั่วอื่น ๆ ที่มีไขมันต่ำ
กินผักและผลไม้ให้มากขึ้น
ข้อนี้คงไม่ต้องบรรยายมาก เพราะเราก็คุยกันเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว ผักผลไม้นอกจากแทบจะปราศจากไขมันแล้ว ยังให้วิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร และสารที่มีประโยชน์อื่น ๆ เพียงแต่อย่าราดสลัดครีมจนชุ่มหรือกินผักผลไม้ที่ผ่านการทอด เช่น เฟรนช์ฟรายส์ กล้วยแขก มันทอด ฯลฯ มากจนเกินไป
เลือกธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี
ข้าวกล้องและขนมปังโฮลวีท เป็นตัวเลือกที่ให้คุณค่าทางโภชนาการมากกว่าข้าวที่ขัดสีจนขาว และขนมปังขาว ใยอาหารและสารอาหารอื่น ๆ ในธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสีมีผลต่อการควบคุมความดันโลหิต และการลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
ลดเกลือ (โซเดียมคลอไรด์) ในอาหาร
ทุกท่านคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าการกินรสเค็ม ซึ่งเกิดจากเกลือโซเดียมคลอไรด์หรือเกลือแกงที่มีในอาหารต่าง ๆ มากไปนั้น เป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ เพราะฉะนั้นควรจะต้องเพลา ๆ ลงบ้าง หัดเติมเครื่องปรุงรสเค็มให้น้อยลง ไม่ว่าจะเป็นเกลือ น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสปรุงรส ชิมก่อนปรุง และหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัด
ปรับปริมาณการกิน
ปัญหาใหญ่อันหนึ่งของหลาย ๆ ประเทศที่มีปัญหาโรคอ้วน และโรคเรื้อรังทั้งหลายคือ การกินเกินพอดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่เสิร์ฟในร้านอาหารหรือภัตตาคาร บางครั้งจะให้ปริมาณมากหรือเชิญชวนให้เพิ่มขนาด เพิ่มนั่นเพิ่มนี่เพื่อให้ (ดูเหมือนว่า) คุ้มราคา เราต้องรู้จักประมาณการ กินพออิ่ม เลือกปริมาณที่พอเหมาะ ถ้าหากเป็นอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ควรหยุดเมื่อเริ่มรู้สึกอิ่ม
วางแผนล่วงหน้าในการบริโภคอาหารแต่ละวัน
ข้อนี้อาจจะยากสักหน่อยสำหรับคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีชีวิตแบบเร่งรีบ แต่อย่างน้อยขอให้กินอย่างมีสติ ในแต่ละวันกินให้ได้ครบ 5 หมู่ ข้าว แป้ง ผักผลไม้มากหน่อย เนื้อสัตว์หรืออาหารโปรตีนอื่นพอประมาณ น้ำมัน (ไขมัน) น้ำตาล เกลือกินแต่น้อย
ให้รางวัลตัวเองเป็นครั้งคราว
สุดท้ายแล้วอย่าเคร่งเครียดจนเกินไป อาหารมันก็กินไม่ได้หวานไป เค็มไปก็ไม่ดี ชีวิตนี้ช่างไม่มีรสชาติ คงไม่ต้องถึงขนาดนั้น ขอเพียงให้ในเวลาส่วนใหญ่เรากินอาหารให้ถูกหลัก กินของที่มีประโยชน์และดีต่อสุขภาพ บางครั้งบางคราวเราสามารถให้รางวัลกับตัวเองบ้าง แต่อย่าใช้เป็นข้ออ้างในการละเลยการมีพฤติกรรมการบริโภคที่ดี
ครบ 8 ขั้นตอนที่ไมน่าจะยากจนเกินไป ถ้าสามารถปฏิบัติจนเป็นนิสัย หัวใจของคุณจะได้ห่างไกลโรค
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)